บทคัดย่อ

รหัสโครงการ  :  สัญญาเลขที่ RDG5550018
ชื่อโครงการ    : รูปแบบและกระบวนการจัดการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในภาค
 ตะวันออกเฉียงเหนือ :  กระบวนการเปลี่ยนแปลง “เส้นทางบุญ” สู่  “เส้นทางธรรม”
The  Forms   and  the  Processes  of   Buddhism-based  Tourism
  Management  in  Northeastern  Thailand:  the  Process  of  Changing
  Merit  Routes  to  Dhamma  Routes.
ชื่อนักวิจัย    : ดร.แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม , ดร.แสวง นิลนามะ, พระมหาเกรียงศักดิ์
   อินฺทปญฺโญ
ระยะเวลาโครงการ :  พฤษภาคม 2555 – 30 เมษายน 2556

วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อ (1)เพื่อศึกษารูปแบบ กิจกรรม อัตลักษณ์ และกระบวนการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (2)เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวและกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้และการสื่อสารคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวประเภทวัดที่มีความสัมพันธ์กับกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากเส้นทางบุญสู่เส้นทางธรรม (3)เพื่อศึกษาเส้นทางและประเมินทรัพยากรการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (4) เพื่อศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาและผลกระทบของการท่องเที่ยวที่มีต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วิธีการดำเนินการวิจัยประกอบด้วยวิธีวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาจากหนังสือประวัติวัด เอกสารแผ่นพับ จิตรกรรมฝาผนัง การวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสอบถามสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นชาวไทยและชาวต่างชาติ จำนวน 300 ชุด แบบสอบถามและสัมภาษณ์เชิงลึกเจ้าอาวาส  พระเถระและผู้เกี่ยวข้องภายในวัดจำนวน 30 ชุด/รูป ประชุมเสวนาวิชาการมีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน การประชุมกลุ่มย่อยพระสงฆ์และชุมชนจำนวนกว่า 20 รูป/คน  ซึ่งสามารถสรุปผลการวิจัย ได้ดังนี้
จากวัดกลุ่มตัวอย่าง 30 วัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนา พบว่าเส้นทางการท่องเที่ยวมี 2 รูปแบบ 3 เส้นทาง ดังนี้ รูปแบบที่ 1) เส้นทางบุญ ซึ่งประกอบด้วย 2 เส้นทาง คือ เส้นทางตำนานองค์พระธาตุและเส้นทางอภิวาทพระพุทธรูปคู่บ้านพระอริยสงฆ์คู่เมือง  รูปแบบที่ 2) เส้นทางธรรม คือ เส้นทางรุ่งเรืองในพุทธธรรม แต่ละเส้นทางมีอัตลักษณ์และกระบวนการท่องเที่ยว ดังนี้
1) เส้นทางตำนานองค์พระธาตุ  มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเป็นแหล่งดึงดูด ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดเป้าหมายในการเดินทางกราบไหว้แสวงบุญ มีทั้งหมด 10 พระธาตุ  
2) เส้นทางอภิวาทพระพุทธรูปคู่บ้านพระอริยสงฆ์คู่เมือง  มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และพระอริยสงฆ์เป็นแหล่งดึงดูด  ซึ่งนักท่องเที่ยวมีความเชื่อว่าไหว้พระพุทธรูปและทำบุญกับพระอริยสงฆ์ได้บุญมาก  ได้ชื่อว่าเดินตามรอยพระอริยสงฆ์ และยังมีรูปแบบการปฏิบัติธรรมที่ยังสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้มีทั้งหมด 10 วัด
3) เส้นทางรุ่งเรืองในพุทธธรรม  วัตถุประสงค์ของการไปคือเพื่อปฏิบัติธรรม หวังเพิ่มบุญ สั่งสมความสงบ แสวงหาความจริงของชีวิต ลดความวุ่นวาย หวังการบรรลุธรรม  ปฏิบัติตามแนวทางที่พระอริยสงฆ์ปฏิบัติไว้เป็นแบบอย่าง มีทั้งหมด 10 วัด
จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากเส้นทางบุญสู่เส้นทางธรรม พบว่าเส้นทางท่องเที่ยว 3 เส้นทาง สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบท่องเที่ยวได้ เส้นทางบุญสามารถเปลี่ยนเป็นเส้นทางธรรมได้  ในทำนองเดียวกันเส้นทางธรรมสามารถเปลี่ยนกลับเป็นเส้นทางบุญได้ เมื่อมีปัจจัยเข้ามากระตุ้น เช่น เส้นทางการไหว้พระธาตุและพระพุทธรูปมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้ขาดความสงบทำให้เริ่มมีการจัดการแบ่งพื้นที่ทำบุญกับพื้นที่ปฏิบัติธรรมให้เห็น
ส่วนเส้นทางปฏิบัติธรรมและเส้นทางไหว้พระอริยสงฆ์ซึ่งมีความเงียบสงบ  เดิมเคยมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาทำบุญและปฏิบัติธรรมจำนวนมากครั้งที่พระอริยสงฆ์ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้เส้นทางทั้งสองเส้นนี้ มีการผสมผสานกันสลับไปสลับมา อันเนื่องจากกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาและกิจกรรมทางประเพณีทำให้เกิดเส้นทางบุญสู่เส้นทางธรรมและจากแบบสอบถามพบว่านักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนมากเป็นสุภาพสตรี สถานภาพโสด อายุเฉลี่ย 21-30 ปี การศึกษาส่วนใหญ่ปริญญาตรี                
เดินทางท่องเที่ยวเป็นคณะ ทราบข้อมูลจากญาติและเพื่อน ให้ความสนใจในการไหว้พระธาตุเป็นส่วนมาก  นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาย สถานภาพโสดอายุเฉลี่ย 21-30 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี มาท่องเที่ยวกับครอบครัว โดยบริษัทนำเที่ยว เคยมาเมืองไทยมากกว่า 2 ครั้ง ทราบข้อมูลจากแหล่งท่องเที่ยวจากแผ่นพับ เหตุผลในการเดินทางไปเยี่ยมชมวัดคือชมความงามของวัดและพุทธศิลป์ จากแบบสอบถามเจ้าอาวาสและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวพบว่าผู้ดูแลจัดการท่องเที่ยวภายในวัด มีอายุมากกว่า 60 ปี การศึกษาระดับมัธยมศึกษา มีหน้าที่จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเช่นการไหว้พระ การฝึกสอนสมาธิ
การศึกษาเส้นทางและประเมินทรัพยากรการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบว่าวัดกลุ่มตำนานองค์พระธาตุและและกลุ่มพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มีความพร้อมในทางกายภาพมากที่สุด               วัดกลุ่มพระอริยสงฆ์และวัดกลุ่มปฏิบัติธรรมมีความพร้อมทางกายภาพระดับกลางของในส่วน                ศาสนสถานรูปนั้นแบบของพระธาตุมีลักษณะคล้ายคลึงกันกระจายกันอยู่ทั่วภูมิภาคส่วนใหญ่จำลองแบบจากพระธาตุพนม ศาสนวัตถุคือพระพุทธรูปปางมารวิชัยมีชื่อเสียงในความศักด์สิทธิ์ วัดพระอริยสงฆ์ส่วนใหญ่นิยมสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์อัฏฐบริขาร ในขณะที่วัดปฏิบัติธรรมมีสภาพป่าที่สมบูรณ์            บางท้องถิ่นชุมชนเป็นผู้ก่อตั้งชมรมในวัดให้ความรู้เกี่ยวกับอาชีพและสุขภาพ มีรูปแบบการสื่อธรรมผ่านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ปติมากรรมหรือสื่อพุทธธรรมและคติธรรมตามต้นไม้ ยิ่งไปกว่านั้น         วัดเหล่านี้มีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ส่งเสริมแรงงานในท้องถิ่น  ชุมชนมีส่วนร่วมกำหนดแผนการจัดงาน,ร่วมจัดงาน,ร่วมในการจัดเก็บรายได้ของวัด  บางวัดมีความขัดแย้งกับกรรมการวัดในเรื่องทรัพย์สินของวัด
จากการศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาและผลกระทบของการท่องเที่ยวที่มีต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบว่าพระสงฆ์มีการตื่นตัวและปรับปรุงวัดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เกิดการสร้างงาน การพัฒนาสาธารณูปโภคภายในวัด ในขณะเดียวกันภาระของพระสงฆ์ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นรบกวนการปฏิบัติธรรมและบางวัดยังไม่มีการแบ่งพื้นที่ระหว่างนักท่องเที่ยวและที่พักพระสงฆ์แม้ว่าการท่องเที่ยวจะนำมาซึ่งรายได้จำนวนมากถึงกระนั้นวัดก็ได้กระจายรายได้ไปสู่ชุมชนในรูปแบบการบำเพ็ญประโยชน์ เช่นมอบทุนการศึกษา นอกจากนี้ยังพบว่าชุมชนท้องถิ่นไม่แสดงอัตลักษณ์ทางท่องเที่ยวยกเว้นงานเทศกาลประจำปี

วัดดอนธาตุ

วัดดอนธาตุ    ตั้งอยู่บนเกาะดอนธาตุกลางแม่น้ำมูล ต.ทรายมูล และบ้านคันไร่ อ.พิบูลมังสาหาร
จ.อุบลราชธานี มีเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ ลักษณะยาวรี ตามลำน้ำมูล หัวดอนเกาะอยู่ทิศตะวันออก มองเห็นหมู่บ้านทรายมูล อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สองฝั่งร้องตะโกน ได้ยินถึงกัน ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ จ.อุบลราชธานี วัดแห่งนี้เป็นวัดสุดท้ายที่หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล สร้างขึ้น รวมทั้งยังเป็นวัดสุดท้ายที่หลวงูป่เสาร์อยู่ปฏิบั ติธรรม ก่อนที่จะไปมรณภาพในอิริยาบถนั่งที่วัดมหาอำมาตยาราม อ.วรรณไวทยากรณ์ นครจำปาสัก ประเทศลาว เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2484 สิริรวมอายุ 82 ปี 3 เดือน 1 วัน และได้อัญเชิญศพกลับมาจัดงานฌาปนกิจที่วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี โดยทุกๆ ปี ระหว่างวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ จะมีการปฏิบัติธรรมและทำบุญครบรอบคล้ายวันมรณภาพ
     ทุกวันนี้วัดดอนธาตุนอกจากศาสนกิจ ตามปกติธรรมเนียมประเพณีแล้ว ยังมีพิธีทำบุญตามพื้นบ้านโบราณตามฤดูกาล เช่น บุญกวนข้าวทิพย์ บุญเดือนยี่ ซึ่งต้องจัดทำตามกาลกำหนด ขาดมิได้ สามารถเข้ามาปฏิบัติธรรมได้ทุกวัน โดยผู้ที่มาปฏิบัติที่วัดดอนธาตุ ส่วนมากนั้นจะมีพื้นฐานการภาวนามาบ้างแล้ว พระอาจารย์ใหญ่ (ประธานสงฆฺ) จะเน้นการสอนด้วยการปฏิบัติให้ดู แต่สามารถเข้ามาสอบถามข้อสงสัยในการปฏิบัติภาวนากับพระอาจารย์ใหญ่ได้

เจดีย์พิพิธภัณฑ์
     "เจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล" ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ใหญ่ ที่ยังรักษาสภาพป่าไม้ธรรมชาติเดิมไว้ ฐานพระเจดีย์เป็นกำแพงหินทรายโดยรอบยกสูง ภายในองค์เจดีย์เป็นห้องพิพิธภัณฑ์ขนาด 9.50x9.50 เมตร มีประตูบานไม้สักหนา 2 นิ้ว เปิดเข้าออกได้ 3 ด้าน คือ ด้านหน้าและด้านข้าง 2 ด้าน  พื้นปูด้วยแกรนิต ผนังภายในห้องกรุด้วยหินทรายสีขาว แสดงถึงความเป็นธรรมชาติ แท่นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของหลวงปู่เสาร์ในท่านั่ง ประดับซ้ายขวาด้วยพานพุ่ม  อยู่ภายใต้ซุ้มด้านหลังองค์พระเจดีย์ เสมือนหลวงปู่นั่งเจริญภาวนาในถ้ำ  โดยรอบพระเจดีย์เป็นลานกว้าง ใช้ปฏิบัติศาสนกิจ เช่น เวียนเทียน และมีทางเชื่อมศาลากับเจดีย์เป็นลานคอนกรีต ที่ยังเก็บรักษาต้นไม้ที่มีอยู่ไว้ จึงมีต้นไม้ใหญ่ผุดขึ้นใ นลาน ดูร่มรื่นและให้บรรยากาศของวัดป่า  เบื้องหน้าพระเจดีย์ทางซ้าย มีกุฏิที่หลวงปู่เสาร์เคยอยู่จำพรรษา เป็นกุฏิไม้เล็กๆ ยกใต้ถุนสูง มีเพียงหนึ่งห้อง และมีระเบียงหน้าห้องยาวตลอด ทางขึ้นเป็นบันไดไม้พาด 3 ชั้น ก้าวห่างๆ ผนังกั้น เป็นผนังไม้ซ้อนทับเกล็ด หลังคามุงด้วยแผ่นไม้ ผ่าเป็นแผ่นยาว ซ้อนทับกัน มีลักษณะง่ายๆ สมถะ

วัดป่าสุทธาวาส

วัดป่าสุทธาวาส
      ประวัติความเป็นมา หลวงปู่เสาร์ กันตสีลเถระ กับ หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระได้รับการอาราธนาจาก
อุบาสิกาสามพี่น้อง ได้แก่ นางนุ่ม, นางนิล ชุวานนท์ และนางลูกอินทร์ วัฒนสุชาติ ผู้มีความเลื่อมใสในพระอาจารย์ทั้งสอง มาจำพรรษา ณ เสนาสนะป่าบ้านบาก ในปี พ.ศ. 2469 ต่อมาจึงได้ดำเนินการสร้างเป็นวัดป่าสุทธาวาส  หลังจากนั้นพระอาจารย์ฉลวย ( หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม วัดป่าวิทยาลัย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มรณภาพแล้ว ) ได้เดินธุดงค์ไปนมัสการหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ก่อนจะเข้าไปถึงวัดปากทางคือบ้านของนายอ่อน โมราราษฎร์ อุปฐากผู้ให้ที่พักและคอยรับส่งผู้ที่จะเข้าไปยังวัดป่าบ้านหนองผือ พระอาจารย์ฉลวยได้ไปอาศัยพักเช่นกัน นายอ่อนได้กล่าวถึงสถานที่บริเวณบ้านกุดก้อมว่า ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ( จูม พนฺธุโล ) เคยกล่าวว่า ที่นั้นมีทำเลอันดีเหมาะสมที่จะสร้างวัด พระอาจารย์ฉลวยจึงขอให้นายอ่อนพาไปดู จึงพบว่าเป็นสัปปายะเหมาะแก่การภาวนาจริง จึงได้สร้างเสนาสนะขึ้นนายอ่อนก็ได้ถวายที่ดินของตนเพิ่มเติมด้วยจึงได้เป็นวัดป่าบ้านกลางโนนภู่ วาระสุดท้ายก่อนนิพพานท่านได้พำนักที่วัด วัดป่าบ้านกลางโนนภู่ ณ ศาลาพักอาพาธเมื่อ  หลังจากออกพรรษาในปี พ.ศ. 2492 แล้ว อาการป่วยขององค์หลวงปู่มั่นหนักขึ้นทุกวัน ท่านทราบถึงความเป็นไปในอนาคตแล้วปรารภที่จะไปมรณภาพที่วัดป่าสุทธาวาสในเมืองสกลนคร จึงได้มีการจะนำท่านไปยังวัดป่าสุทธาวาส โดยอาราธนาท่านพักบนคานหามแวะพักที่ศาลาหลังเล็กวัดป่าบ้านกลางโนนภู่ก่อนเป็นเวลา 11 วัน การที่ท่านมาพักที่วัดป่าบ้านกลางโนนภู่นี้ก็เพื่อโปรดนายอ่อน โมราราษฎร์ผู้สร้างวัดนี้และเป็นโยมทีอุปถากที่คอยช่วยเหลือท่านที่วัดป่าบ้านหนองผือตลอดลอดระยะเวลา 5 ปี ภายหลังที่ท่านจากภาคเหนือมาจำพรรษาที่วัดป่าโนนนิเวศน์ จ.อุดรธานีแล้ว คณะศรัทธาชาวสกลนครได้กราบอาราธนาท่านมาจำพรรษา ณ วัดป่าสุทธาวาสอีกครั้งใน พ.ศ. 2484 แล้วท่านจึงไปจำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านโคก จวบจนวาระที่ท่านใกล้มรณภาพจึงได้มาทิ้งขันธ์ ณ วัดป่าสุทธาวาสใน พ.ศ. 2492ส่วนสภาพในวัดปัจจุบันยังคงความร่มรื่นร่มเย็น สมกับเป็นสถานที่ที่องค์หลวงปู่มั่นเลือกจะมาพักอาพาธ ณ สถานที่นี่ ปัจจุบันมีพระอาจารย์ประจักษ์ ขนฺติโก เป็นเจ้าอาวาส
    ปัจจุบันกลายสภาพเป็นวัดป่ากลางเมือง เป็นสำนักเรียนสำคัญของพระภิกษุสงฆ์ในสกลนคร ปูชนิยสถานสำคัญภายในวัดนอกจากอุโบสถและพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นแล้ว ก็ยังมี "จันทสารเจติยานุสรณ์" เจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย จนฺทสาโรอีกด้วย โดยเจดีย์นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชกระแสว่า "ควรสร้างเจดีย์ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ที่วัดนี้ มีอัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านจะได้อยู่ใกล้กัน"และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ร่างแบบเจดีย์องค์นี้ ด้วยพระองค์เอง พระราชทาน
พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตเถระ
เนื่องจากวัดป่าสุทธาวาสเป็นสถานที่ในการละสังขารของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ภายในอาคารจึงมีอัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น และการจำลองรูปเหมือนโดยสร้างเป็นหุ่นขี้ผึ้งในท่าขัดสมาธิขึ้น รวมทั้งมีการใช้สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงเครื่องอัฐบริขาร อาคารนี้ก่อสร้างโดยสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย และดูใกล้ชิดกับธรรมชาติ อันเป็นการสะท้อนถึงการใช้ชีวิตของท่านตลอดทั้งชีวิตการอุปสมบท
เจดียจันทสารเจติยานุสรณ์
จันทสารเจติยานุสรณ์ หรือ เจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย จันทสาโร ก่อสร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ทรงร่างแบบพระราชทานเบื้องต้นในการก่อสร้างอาคารหลังนี้และมีพระราชกระแสรับสั่งว่า  "ควรสร้างเจดีย์ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ที่วัดนี้ มีอัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านจะได้อยู่ใกล้กัน"

วัดถ้ำคูหาสวรรค์

    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี  เป็นหลวงปู่ที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วท่านเป็นชาวบ้านคำม่วน แขวงคำม่วน ประเทศลาว เกิดปี พ.ศ. 2437 บวชเป็นพระฤาษี พ.ศ.2492 อุปสมบทเป็นพระภิกษุ พ.ศ.2471 มรณภาพเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2527 สิริอายุ 91 ปี ก่อนที่จะบวชเป็นพระฤาษี ก็ถือศีลปฏิบัติธรรมเคร่งครัด ศึกษาวิชาจากพระอาจารย์ผู้ที่มีชื่อเสียงมาตลอด ครั้นถึงเวลาบวชเป็นพระฤาษีก็มุ่งเดินธุดงค์แสวงหาความเร้นลับ ศึกษาเวทย์วิทยาคมจากจากพระอาจารย์ที่โด่งดัง จากฆราวาสผู้มีวิชาเกรียงไกร ทั้งจากประเทศลาว ประเทศกัมพูชา และประเทศไทย เป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคจังหวัดพระนครศรีอยุทธยา หลวงปู่ได้พระคัมภีร์จากหลวงปู่รูปหนึ่งที่ภูเขาอีด่าง ในตำรานั้นประมวลพระคาถา สามารถย่นระยะทางได้ เดินบนผิวน้ำได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ บันดาลฝนให้มีลมพายุแรงได้ ทำตัวให้หนักสามารถจมเรือลำใหญ่ๆได้ แต่คัมภีร์นี้แปลกมหัศจรรย์ที่สุดคือ ใครมีคัมภีร์ไว้ในครอบครอง เพียงแค่นึกคิดให้เกิดอะไรก็จะบังเกิดขึ้นในฉับพลันทันใดโดยไม่ต้องท่องพระคัมภีร์เมื่อคิดจะสวดพระคัมภีร์จะบังเกิดเหตุพายุฝนฟ้าผ่าทันที ถือเป็นอัศจรรย์ยิ่ง
    หลังจากท่านได้เล่าเรียนวิชาจนเก่งกล้าสามารถพระมหากษัตริย์ลาวทรงอุปสมบทให้ถือเป็นนาคหลวงเมื่อหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ไดพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ได้เดินธุดงค์เดินมาทางใต้เขตนครจำปาสัก โดยมาจำพรรษที่เขาภูด่างความมีชื่อเสียงแผ่ขยายไปทั่วประเทศลาวประชาชนประเทศลาวจากทั่วทุกสารทิศต่างก็เดินทางมุ่งหน้าสู่นครจำปาสัก จนทราบข่าวถึง พระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ซึ่งเป็นเจ้าเหนือชีวิตของประเทศลาว รวมทั้งพระญาติทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ได้เสด็จมาที่เมืองปากเซ บนภูเขาอีด่างแขวงจำปาสัก เมื่อพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ได้พบกับหลวงปู่คำคะนิงซึ่งท่านยังเป็นฤษีชีประขาวอยู่ มีการสอบถามถึงความเก่งกล้าสามารถของหลวงปู่แต่หลวงปู่ทรงปฎิเสธไม่อวดอ้างอภินิหารใดๆ แต่ด้วยอภินิหารอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ไม่สามารถปกปิดได้ “พระเจ้าศรีสว่างวัฒนา” มีความศรัทธา ทรงมีพระบรมราชานุเคราะห์ให้จัดงานอุปสมบทให้หลวงปู่พะนิง ณ.วัดหอเก่าแขวงนครจำปาศักดิ์ วัฒนา โดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ เจ้ามหาชีวิตพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมพิธี 28 รูป เมื่อพิธีการอปุสมบทเสร็จสิ้นปะขาวคำคะนิงซึ่งครองเพศพรหมจรรย์ เป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว ได้รับฉายาว่า “สนฺจิตฺโตภิกขุ” หรือ “พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต”  หลวงปู่คำคนิง จุลมณี  ได้เลือกวัดถ้ำคูหาสวรรค์ใช้เป็นที่ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานภายในวัดเป็นถ้ำ บริเวณทวัดตั้งอยู่บนที่ราบสูงริมฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูลไหลรวมกัน กลายเป็นแม่น้ำสองสี อย่างสวยงามอย่างที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ปัจจุบันหลวงปู่ท่านได้มรณภาพแล้ว แต่ร่างกายของท่านไม่เน่าเปื่อย บรรดาลูกศิษย์ได้เก็บร่างของท่านไว้ในโลงแก้วเพื่อบูชา บริเวณวัดมีจุดชมวิวสามารถมองเห็นทัศนียภาพของลำน้ำโขงและฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน
    ปัจจุบันวัดถ้ำคูหาสวรรค์เป็นสถานที่สำคัญและ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดอุบลราชธานี โดยนักท่องเที่ยวมากราบไหว้สังขารหลวงปู่คำคนิง จุลมณี ที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านแล้ว ยังคงถือโอกาสชมทิวทัศน์แม่น้ำโขงและแม่น้ำสองสี ตลอดจนทิวทัศน์ของฝั่งประเทศตรงข้ามได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้แล้วบริเวณใกล้เคียงยังมีบริการเรือพาล่องชมทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำ ชมแม่น้ำสองสี  แก่งตะนะ   บ้านเวินบึก และผาแต้ม  โดยสามารถแวะซื้อของที่ระลึกที่ตลาดหมู่บ้านในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตย